วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตอบโต้ญะฮฺมียะฮฺ muqorrabeen และ muftee






ในกระดานเสวนาของพวกญะฮฺมียะฮฺแห่งบิดอะฮฺสติ้วเต้น เหล่าสาวกของนายอารีฟีน แสงวิมานได้โพสต์วิดีโอการบรรยายของกลุ่มอัซซาบิกูนชุดนี้ 




หลังจากนั้นได้มีทีมงานญะฮฺมียะฮฺสองรายหลักๆ  คลิกดู เข้ามาแสดงความเห็นตอบโต้ดังนี้


muqorrabeen 

จงตัดมือขวาของชารีฟ วงศ์เสงี่ยม ในขณะเขากล่าวว่าในช่วงเวลา 1:17:10 อัลลอฮ์จะทรงม้วนจักรวาลด้วยพระหัตถ์ข้างขวาและกำด้วย แล้วชารีฟ วงศ์เสงี่ยมก็ยกมือข้างขวามากำและแบ แล้วอามีน ลอนา ก็แกล้งเป็นทักท้วงเพื่อให้ชารีฟตอบชี้แจง และชะรีฟ ก็อ้างว่า “ท่านนบีทำครับท่านพี่น้อง ท่านนบีน่ะเวลาอ่านอายะฮ์ว่าอัลลอฮ์จะม้วนๆ ท่านนบีกำมืออย่างนี้(แล้วชารีฟก็ทำท่ายกมือขวาแล้วกำไปกำมา) ทำไมผมจะทำไม่ได้”
หนึ่ง ที่ชารีฟ บอกว่าเวลานบีอ่านอายะฮ์ที่ว่าอัลลอฮ์จะม้วนๆ ท่านนบีกำมืออย่างนี้ ถือว่าโกหก เพราะไม่มีหะดีษบทใดระบุว่า เมื่อท่านนบีอ่านอายะฮ์ที่ 67 ซูเราะฮ์ อัซซุมัร แล้วนบีจะกำและแบมือ
สอง ในขณะชาริฟกล่าวว่า อัลลอฮ์จะทรงม้วนจักรวาลด้วยพระหัตถ์ข้างขวาและกำด้วย แล้วชารีฟ วงศ์เสงี่ยมก็ยกมือข้างขวามากำและแบ แล้วบอกว่า “นบีกำและแบมือเมื่อพูดว่าอัลลอฮ์ทรงม้วนจักรวาล”
เท่าที่ผมตรวจสอบหะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้มีระบุไว้ในซอฮิห์มุสลิม ด้วยถ้อยคำที่ว่า

يَأْخُذُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ سَمَاوَاتِهِ وَأَرَضِيهِ بِيَدَيْهِ فَيَقُولُ أَنَا اللَّهُ وَيَقْبِضُ أَصَابِعَهُ وَيَبْسُطُهَا أَنَا الْمَلِكُ

“อัล เลาะฮ์ทรงจัดการบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินของพระองค์ด้วยพลังอำนาจของพระองค์ แล้วพระองค์ก็กล่าวว่า ข้าคืออัลลอฮ์ – โดยท่านนบีกำบรรดานิ้วของท่านและแผ่บรรดานิ้ว- ข้าคือกษัตริย์ผู้ปกครอง” รายงานโดยมุสลิม
ความจริงเกี่ยวกับหะดีษนี้คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กำและแผ่นิ้วของท่านนั้น นั้นเป็นการเปรียบเทียบ แต่มิใช่เป็นการเปรียบเทียบกับการกำและแบอัลลอฮ์ แต่เป็นการเปรียบเทียบกับการถูกบีบตัวและการแผ่(กระจาย)ของบรรดาฟากฟ้าและ แผ่นดิน
ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า

وَقَبْض النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَصَابِعه وَبَسْطهَا تَمْثِيل لِقَبْضِ هَذِهِ الْمَخْلُوقَات وَجَمْعهَا بَعْد بَسْطهَا ، وَحِكَايَة لِلْمَبْسُوطِ وَالْمَقْبُوض ، وَهُوَ السَّمَوَات وَالْأَرْضُونَ

“การ กำและแบบรรดานิ้วของท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นการยกตัวอย่างให้กับการบีบและรวบบรรดามัคโลคหลังจากที่มันได้แผ่และ เป็นการเล่าถึงสิ่งที่ถูกแผ่และถูกบีบ ซึ่งมันก็คือบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน” ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม
และเป็นที่ทราบกันดีตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ว่า การตัชบีฮ์(สร้างความคล้ายคลึง)กับซีฟาตของอัลลอฮ์นั้น เป็นกุฟุร
ท่านอัลลาลิกาอีย์ ได้รายงานว่า
سمعت أبا محمد الحسن بن عثمان بن جابر يقول سمعت أبا نصر أحمد بن يعقوب بن زاذان قال بلغني أن أحمد بن حنبل قرأ عليه رجل: "وما قدروا الله حق قدره والأرض جميعا قبضته يوم القيامة والسموات مطويات بيمينه" قال ثم أومأ بيده فقال له أحمد: قطعها الله قطعها الله قطعها الله. ثم حرد وقام:
“ฉัน ได้ยิน อะบามุฮัมมัด อัลหะซัน บิน อุษมาน บิน ญาบิร ได้กล่าวว่า ฉันได้ยิน อะบา นัสร์ อะห์มัด บิน ยะอฺกูบ บิน ซาดาน ได้กล่าวว่า ได้ทราบยังฉันว่า แท้จริงได้มีชายคนหนึ่งได้อ่านแก่ท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล(อายะฮ์ที่ 67 ซูเราะฮ์อัซซุมัร)ว่า “และพวกเขาไม่รู้จักอัลลอฮ์อย่างแท้จริงได้หรอก และแผ่นดินทั้งหมดถูกกำไว้(ในอำนาจของพระองค์)ในวันกิยามะฮ์และบรรดาฟากฟ้า นั้นจะรวบด้วย(พระหัตถ์ขวา)เดชานุภาพของพระองค์” หลังจากนั้นเขาได้ทำท่าทางด้วยมือของเขา ดังนั้นท่านอะห์มัด จึงกล่าวแก่เขาว่า ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา หลังจากนั้นท่านอะห์มัดก็โกรธและลุกขึ้นยืน” อุศูลุซซุนนะฮ์ 3/432
ดังนั้นการยกมือกำแบในขณะอ่านอายะฮ์ดังกล่าว นั้น เป็นการยกตัวอย่างตัชบีฮ์(แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ตัชบีฮ์ก็ตาม) ซึ่งเป็นสิ่งที่บิดอะฮ์ลุ่มหลง
เพราะอัลลอฮ์ตาอาลาทรงตรัสว่า

فَلَا تَضْرِبُوا لِلَّهِ الْأَمْثَالَ

“ดังนั้นพวกเจ้าอย่ายก(เปรีบเทียบ)ตัวอย่างทั้งหลาย(คล้าย)กับอัลลอฮ์เลย”
อ้างอิงจาก เฟส أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง ) http://www.facebook.com/groups/215151975220125/300310320037623/?comment_id=300369913364997&notif_t=like


Muftee 

จากคลิปด้านบน ช่วงเวลาที่ 49.20 ... อามีน ลอนา ได้ยกอายะฮฺ อัล-กุรอาน พร้อมกับแปลว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)

แล้ว อามีน ลอนา ก็กล่าวต่อว่า .. คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” .. โดย อามีน ลอนา ได้ยึดคำแปลที่มาจากอัล-กุรอานเล่มแดงของวะฮาบีย์มาแปลให้คนทั่วไปฟัง แล้วพูดต่อไปว่า คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” แล้วคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ก็แปลว่า “พระหัตถ์หรือมือของพระองค์”
แล้วอามีน ลอนา ก็พูดต่อไปในเชิงตำหนิว่า .. แล้วถ้าแปลคำว่า بيده ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ละอาจารย์ชารีฟ (อ.ชารีฟ ก็ช่วยพูดตำหนิในการให้ความหมายว่า “อำนาจ” โดย อ.ชารีฟ บอกว่า “นี่เป็นการแปลตามพวกที่ผิดเพี้ยน”) แล้วอามีน ลอนา ก็แปลอายะฮฺนี้ไปตามความไม่รู้ของตนเองว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” แล้วอามีน ลอนา กับ อ.ชารีฟ ก็ตำหนิว่า การไปแปลคำว่า "بيده" ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” นั้น แปลแบบนี้ มันเป็นการแปลของผู้ที่ผิดเพี้ยน มันแปลไม่ได้ 

ชี้แจง
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า .. การที่ อามีน ลอนา  แปลอายะฮฺนี้แบบใส่ร้ายคนอื่นว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” นั้น ผมก็ยอมรับว่า นี่เป็นการแปลของพวกที่ผิดเพี้ยนจริงๆ และคนที่ผิดเพี้ยนจริงๆ ก็คือ อามีน ลอนา นั่นเอง .. เพราะนี่คือ คำแปลของอามีน ลอนา ที่แปลทึกทักเอาเอง  ซึ่งไม่เคยมีปราชญ์คนใดเขาแปลในแบบที่อามีน ลอนา กล่าวอ้างเอาไว้เลย แต่นี่เป็นการแปลแบบเพี้ยนๆ ของอามีน ลอนา แค่คนเดียวเท่านั้น การแปลของอามีน ลอนา ในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามอย่างชัดเจน ดังนั้น เรามาดูว่าอามีน ลอนา ได้ใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามเอาไว้ว่าอย่างไร ??
คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ตรงนี้ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ไม่ได้ให้ความหมายว่า “อำนาจ” ตามที่อามีน ลอนา ได้พูดเอาไว้ตามความไม่รู้ของเขา และคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ตรงนี้ ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ก็ไม่ได้ให้ความหมายว่า “พระหัตถ์ของพระองค์” ตามที่อามีน ลอนา อ้างมาเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์อิสลามที่ได้รับการยอมรับท่านหนึ่งในโลกอิสลาม ท่านได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

โดยท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า ..

واليد مجاز عن القدرة والإستيلاء والملك هو ملك السموات والأرض في الدنيا والآخرة

และคำว่า “พระหัตถ์” ตรงนี้เป็นการอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบจาก คำว่า “อำนาจและการครอบครอง” และคำว่า “อัล-มุลกฺ” นั้นหมายถึง “อัลลอฮฺนั้นคือ ผู้ทรงสิทธิในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและหน้าแผ่นดินทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ”

ดู ตำรา فتح القدير  โดย ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ เล่มที่ 5  หน้าที่ 367
และท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

  بيده الملك : عبارة عن تحقيق الملك، وذلك أن اليد في عرف الآدميين هي آلة تملك فهي مستعارة لذلك، و(الملك) على الإطلاق هو الذي لا يبيد ولا يختل منه شيء، وذلك هو ملك الله تعالى، والمراد في هذه الآية : ملك الملوك، فهي بمنزلة قوله تعالى (قل اللهم مالك الملك
คำว่า “บิยะดิฮิลมุลกฺ” เป็นสำนวนจากการให้การรองรับคำว่า “สิทธิในการปกครอง”  เพราะแท้จริงคำว่า “มือ” ในประเพณีการใช้กันของมนุษย์นั้น หมายถึง "เครื่องมือ(ที่แสดงถึง)การมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง" (เช่น เมืองนี้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นต้น) ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเสมือนกับการเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยนั่นเอง และคำว่า “อัล-มุลกฺ” โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่สูญสลาย และผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงใดๆ และนี่คือ สิทธิแห่งการปกครองของอัลลอฮฺ ตะอาลา และความหมายในอายะฮฺนี้ คือ ผู้มีสิทธิในการปกครองเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งนี่คือ ตำแหน่งอันสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า ..

قل اللهم مالك الملك

“จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการปกครองทั้งปวง” (ซูเราะฮฺ อาละ อิมรอน : 26)

ดู ตำรา المحرر الوجيز โดย ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ เล่มที่ 15  หน้าที่ 2-3
ดังนั้น อายะฮฺข้างต้นนี้จึงต้องให้ความหมายว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)
ดังนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น ไม่มีใครที่มีอำนาจหรือกรรมสิทธ์ในการปกครองสิ่งใดๆ เลย นอกจากว่าทั้งหมดนั้น จะเป็นสิทธิแห่งอำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ว่าจะมอบอำนาจหรือมอบสิทธิการปกครองในเรื่องนั้นๆ ให้แก่ผู้ใด หรือว่าพระองค์จะถอนคืนซึ่งสิทธิอำนาจในการปกครองจากผู้ใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเคาะลีฟะฮฺ หรือกษัตริย์ หรือสุลตอน หรือผู้ปกครองใดๆ ก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจหรือมีสิทธิในการปกครองอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นอกจากอัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้นที่เพรียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุด
สรุป
1. จากอายะฮฺนี้ คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ไม่ได้แปลว่า “อำนาจ” อย่างที่อามีน ลอนา หรือวะฮาบีย์เข้าใจ แต่มันหมายถึง “สิทธิแห่งการปกครอง”
2. คำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ในอายะฮฺนี้ ต้องทำการตีความให้อยู่ในความหมายว่า “อำนาจหรือการครอบครอง” ซึ่งเป็นไปตามทัศนะของปราชญ์อิสลาม อาทิเช่น ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ซึ่งได้ทำการตีความเอาไว้ในตำราของท่าน โดยเฉพาะท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ท่านถือว่าเป็นปราชญ์ตัฟซีรที่โด่งดังมากท่านหนึ่ง และตำราตัฟซีรของท่านเล่มที่ถูกอ้างอิงเอาไว้ด้านบน ก็ถือเป็นตำราตัฟซีรที่ปราชญ์ให้การยอมรับและชมเชยกันเป็นอย่างมาก
3. จากอายะฮฺนี้ ต้องให้ความหมายว่า “ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  ไม่ใช่แปลแบบสะเพร่าอย่างที่อามีน ลอนา ได้แปลเอาไว้
ข้อสังเกต หากว่าการตีความคำว่า “พระหัตถ์” ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ในอายะฮฺนี้  เป็นการตีความตามความคิดของพวกที่ผิดเพี้ยนอย่างที่อามีน ลอนา และ อ.ชารีฟ กล่าวอ้างแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่า ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุอะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ก็เป็นพวกที่มีความคิดผิดเพี้ยนไปด้วย และนี่คือ การใส่ร้ายอย่างน่าเกลียดของอามีน ลอนา  และ อ.ชารีฟ ต่อปวงปราชญ์อิสลาม .. วัลอียาซุบิลลาฮฺ !!จากคลิปด้านบน ในช่วงเวลาที่ 32.17 ..
อ.ชา รีฟ กล่าวว่า .. ตามหลักอะฮฺลิสสุนะฮฺฯ สะลัฟที่เข้าใจกันอย่างถูกต้องนั้น เรายืนยันว่า อัลลอฮฺทรงเห็น แต่เราก็ไม่มานั่งบอกว่าอัลลอฮฺมีลูกตาหรอ ??  มีตาดำ มีตาขาวหรอ ?? หรือว่าอัลลอฮฺได้ยินหรือไม่ ?? เราก็ไม่ได้ไปนั่งเจ๊าะแจ๊ะว่าอัลลอฮฺมีหูหรอ ??  อัลลอฮฺมีแก้วหูหรอ ??  เราเชื่อไปเลยว่าอัลลอฮฺเห็นก็คือ อัลลอฮฺเห็น อัลลอฮฺได้ยินก็คือ อัลลอฮฺได้ยิน แต่ว่าไม่เหมือนมนุษย์ก็แล้วกัน ..
แล้วอามีน ลอนา ก็กล่าวเพิ่มเติมจากคำพูดของ อ.ชารีฟ ว่า คนพวกนี้ชอบไปเจ๊าะแจ๊ะ ชอบไปยุ่งในรายละเอียดของอัลลอฮฺ ถ้าพูดแรงๆ เค้าเรียกว่า “ไปเสือก” ในรายละเอียดของอัลลอฮฺ

ชี้แจง
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า .. การที่อามีน ลอนา ใช้คำพูดไปตำหนิคนอื่นว่า “เสือก” .. นี่นะหรือ คือ มารยาทของคนที่อ้างตัวเองว่าตามอัล-กุรอานและตามสุนนะฮฺ  ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกับความเห็นของตนเอง แต่เราก็ไม่ควรไปด่าเขาว่า “เสือก”
ดังมีหะดีษที่รายงานมาจากท่านอะบีฮุร็อยเราะฮฺ(ร.ด.) ว่า ..
عن أبي هريرة -رضي الله عنه- قال: قال رسول الله -صلى الله عليه وسلم-: من كان يؤمن بالله واليوم الآخر فليقل خيرا أو ليصمت
“จาก ท่านอะบีฮุร็อยเราะฮฺ(ร.ด.) เล่าว่า ท่านรสูล(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันกิยามะฮฺ ดังนั้น จงพูดแต่สิ่งที่ดีๆ หรือไม่ก็จงเงียบเสีย” (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)
และท่านรสูล(ซ.ล.) ยังได้กล่าวไว้อีกว่า ..

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

“ผู้ศรัทธานั้น  ต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบตำหนิคนอื่น และต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบสาปแช่งผู้อื่น  และต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบด่าทอผู้อื่นอย่างน่าเกลียด  และต้องไม่เป็นผู้ที่พูดหรือมีนิสัยที่หยาบคาย" บันทึกโดยท่านติรมีซีย์  หะดีษหะซัน
ดังนั้น การที่อามีน ลอนา ไปด่าผู้อื่นว่า “เสือก” ถือว่าเป็นผู้ที่ไร้มารยาทในทางวิชาการอย่างสิ้นเชิง และการที่อามีน ลอนา กล่าวว่า คนพวกนี้ชอบไปเจ๊าะแจ๊ะ ชอบไปยุ่งในรายละเอียดของอัลลอฮฺ เป็นคนที่ “เสือก” นั่นเท่ากับว่า อามีน ลอนา ได้ทำการด่าทอเศาะหาบะฮฺและบรรดาปวงปราชญ์อิสลามอย่างน่าเกลียดมาก ซึ่งปวงปราชญ์เหล่านี้เป็นผู้ที่พยายามศึกษาและตีความรายละเอียดในเรื่อง คุณลักษณะของอัลลอฮฺ ตะอาลา เพื่อนำมายืนยันในความบริสุทธิ์ของพระองค์จากคุณลักษณะต่างๆ ที่เหมือนกับมัคลูก .. เรามาดูว่า ปราชญ์ที่โดนอามีน ลอนา ด่าว่า “เสือก” เพราะไปยุ่งเรื่องของอัลลอฮฺ  เขาคือใครกันบ้าง ??
1. ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

واصنع الفلك بأعيننا ووحينا

“และเจ้าจงสร้างเรือด้วยดวงตาของเราและคำบัญชาของเรา” (ซูเราะฮฺ ฮูด : 37)
จากอายะฮฺนี้ ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้ทำการตีความ ตรงคำว่า “ด้วยดวงตาของเรา” ในอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

والمراد : بحراستنا لك وحفظنا لك

คำว่า “ด้วยดวงตาของเรา” ตรงนี้หมายถึง “ด้วยการดูแลของเราแก่เจ้าและด้วยการปกปักษ์รักษาของเราแก่เจ้า”

ดู ตำรา فتح القدير   โดย ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ เล่มที่ 2  หน้าที่ 694


2. ท่านอิมาม อัฏ-ฏอบะรีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

يوم يكشف عن ساق

“วันที่หน้าแข้ง(ของพระองค์)จะถูกเลิกขึ้น” (ซูเราะฮฺ อัล-เกาะลัม : 42)

จากอายะฮฺนี้ ท่านอิมาม อัฎ-เฏาะบะรีย์ ได้ทำการตีความ อายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

قال جماعة من الصحابة والتابعين من أهل التأويل : يبدو عن أمر شديد،

บรรดาปวงปราชญ์จากเหล่าเศาะหาบะฮฺและตาบิอีนจากบรรดานักตีความ ได้ให้ความหมายว่า “(ในวันกิยามะฮฺนั้น)จะปรากฏขึ้นซึ่งความรุนแรงอันน่าสะพึงกลัว”

ดู ตำรา  تفسير الطبري โดย ท่านอิมาม อิบนุ ญะรีร อัฏ-เฏาะบะรีย์ เล่มที่ 29  หน้าที่ 38

3. ท่านอิมาม อัล-บะเฆาะวีย์ ก็ได้ทำการถ่ายทอดทัศนะข้างต้นของท่านอิบนุ อับบาส และทัศนะนี้ของท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ เอาไว้ในตำราของท่านเช่นกัน ว่า..

การให้ความหมายว่า "(ในวันกิยามะฮฺนั้น)จะปรากฏขึ้นซึ่งความรุนแรงอันน่าสะพึงกลัว" นี่เป็นทัศนะของเศาะหาบะฮฺอย่างท่านอิบนุ อับบาส และตาบิอีนอย่างท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ”

ดู ตำรา تفسير البغوي  โดย ท่านอิมาม อัล-บะเฆาะวีย์  เล่มที่ 4  หน้าที่ 381


4. ท่านอิมาม ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)

และท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

  بيده الملك : عبارة عن تحقيق الملك، وذلك أن اليد في عرف الآدميين هي آلة تملك فهي مستعارة لذلك، و(الملك) على الإطلاق هو الذي لا يبيد ولا يختل منه شيء، وذلك هو ملك الله تعالى، والمراد في هذه الآية : ملك الملوك، فهي بمنزلة قوله تعالى (قل اللهم مالك الملك 

คำว่า “บิยะดิฮิลมุลกฺ” เป็นสำนวนจากการให้การรองรับคำว่า “สิทธิในการปกครอง”  เพราะแท้จริงคำว่า “มือ” ในประเพณีการใช้กันของมนุษย์นั้น หมายถึง เครื่องมือ(ที่แสดงถึง)การมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง (เช่น เมืองนี้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นต้น) ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเสมือนกับการเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยนั่นเอง และคำว่า “อัล-มุลกฺ” โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่สูญสลาย และผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงใดๆ และนี่คือ สิทธิแห่งการปกครองของอัลลอฮฺ ตะอาลา และความหมายในอายะฮฺนี้ คือ ผู้มีสิทธิในการปกครองเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งนี่คือ ตำแหน่งอันสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า ..

قل اللهم مالك الملك

“จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการปกครองทั้งปวง” (ซูเราะฮฺ อาละ อิมรอน : 26)

ดู ตำรา المحرر الوجيز โดย ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ เล่มที่ 15  หน้าที่ 2-3

สรุป
เรา จะเห็นได้ว่า ส่วนหนึ่งในการตีความจากอายะฮฺต่างๆ ข้างต้นนั้น บรรดานักปราชญ์อิสลามต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจากบรรดาเศาะหาบะฮฺหรือบรรดาตาบิอีนหรือปราชญ์ในยุคหลัง พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่พยายามศึกษาและตีความในรายละเอียดของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้อัลลอฮฺ ตะอาลา นั้นทรงบริสุทธ์จากการไปมีคุณลักษณะที่เหมือนกับมัคลูก และการตีความของพวกเขานั้นก็เพื่อให้สมกับเกียรติและฐานะอันยิ่งใหญ่และ สูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา
แต่ไฉนเลย การพยายามตีความเพื่อให้ความบริสุทธิ์กับอัลลอฮฺ ตะอาลา ของเศาะหาบะฮฺอย่างท่านอิบนุ อับบาส ,ของตาบิอีนอย่างท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ ,ของปราชญ์สะลัฟอย่างท่านอิมามอัฏ-เฏาะบะรีย์ ,ของท่านอิมามอัล-บะเฆาะวีย์ ,ของท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ และของท่านอิมามอัช-เชากานีย์ .. ทำไมปวงปราชญ์เหล่านี้ ถึงได้กลายเป็น “คนที่เสือก” ตามทัศนะของอามีน ลอนา ... วัลอียาซุบิลลาฮฺ !!

 

ตอบโต้พวกญะฮฺมียะฮฺผู้อับจน 

สำหรับใครก็ตามที่ได้ฟังการอธิบายของวิทยากรสองท่านจากกลุ่มอัซซาบิกูนในคลิปข้างต้นทั้งหมดอย่างละเอียด จะพบว่าญะฮฺมียฺสองตนนี้ไม่ได้ชี้แจงเนื้อหาทั้งหมด และแทบจะไม่ได้หักล้างหลักฐานของฝ่ายอะฮฺซุนนะฮฺเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ญะฮฺมียฺสองรายนี้กระทำไปคือการพายเรือในอ่างและยกหลักฐานนอกประเด็น ที่สำคัญคือแทบไม่ได้ตอบโต้หลักฐานสำคัญๆจากคำอธิบายของชาวสะลัฟที่วิทยากรของกลุ่มอัซซาบิกูนอธิบายไปเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะคำกล่าวของท่านอิมามติรมิสีย์ เราะฮิมาฮุลเลาะฮฺ ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มอัซซาบิกูนจึงได้จัดเสวนาเพื่อตอบโต้ความเขลาของพวกญะฮฺมียฺสองรายนี้อีกครั้ง ด้วยคลิปตัวนี้


หลังจากคลิปตัวนี้ออกไป ไม่ปรากฏพบการชี้แจงจากพวกญะฮฺมียฺเลยแต่อย่างใด และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมญะฮฺมียฺสองรายนี้จึงไม่คิดที่จะโพสต์วิดีโอชุดที่สองนี้ในเว็ปไซต์ของพวกเขาพร้อมทำการตอบโต้เลย

วัสสลามมุอะลัยกุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น